< Plan B ต้องมีแล้ว! เปิดเคล็ดลับจัดการธุรกิจเมื่อคุณคิดจะให้พนักงาน Work From Home
Main Idea
เมื่อสถานการณ์ไวรัส COVID-19 กำลังเล่นงานพวกเราเข้าอย่างจัง ผลกระทบเต็มๆ ก็คงตกอยู่ที่ผู้ประกอบการทุกคน ทั้งนักท่องเที่ยวลดลง ผู้บริโภคออกจากบ้านน้อยลง ยอดขายตกลงอย่างเลี่ยงไม่ได้
นอกจากเรื่องเศรษฐกิจที่กำลังน่าเป็นห่วงแล้ว เรื่องของสุขภาพกายและใจของพนักงานก็สำคัญไม่แพ้กัน หนึ่งในวิธีการแก้ปัญหาที่ดีในตอนนี้คือการมี Plan B ให้พนักงาน Work From Home หรือว่าทำงานจากที่บ้านได้
วิธีการนี้ นอกจากจะทำให้พวกเขาลดความเสี่ยงในการติดไวรัส COVID-19 จากการเดินทางมาทำงานและการแพร่เชื้อในออฟฟิศแล้ว ยังเป็นการลดต้นทุนด้านพลังงานได้อีกด้วย แต่ในฐานะผู้ประกอบการจะบริหารองค์กรอย่างไรถ้าต้องให้พนักงาน Work From Home ลองไปดูกัน!
ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีคนเริ่มติดเชื้อไวรัสกันมากขึ้น การเดินทางมาทำงานยามเช้าของพนักงานที่ต้องใช้รถสาธารณะ เช่น BTS, MRT, รถตู้, รถเมล์ถือว่าเป็นความเสี่ยงสูงมาก เพราะมีคนมากมายที่แออัดอยู่ในพื้นที่ปิด นอกจากที่จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อแล้วยังเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อในออฟฟิศอีกด้วย
อีกหนึ่งข้อดีสำหรับองค์กรคือช่วยลดค่าใช้จ่ายในสถานการณ์ที่ธุรกิจกำลังท้าทายอยู่ ณ ขณะนี้ เพราะในการทำงานปกติ ก็จะต้องมีทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าพลังงานต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อพนักงานทำงานอยู่ในออฟฟิศ แต่หากคุณออกมาตรการให้ทุกคนสามารถทำงานที่บ้านได้ก็จะช่วยเซฟค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้ส่วนหนึ่งเลยล่ะ
มีหลายงานวิจัยที่ออกมาบอกตรงกันว่าการ Work From Home จะช่วยทำให้สุขภาพจิตใจของพนักงานมีความสุขมากขึ้น ช่วยลดความเครียดจากการทำงาน ที่สำคัญเมื่อพนักงานมีความสุขแล้วยังทำให้พวกเขามีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มมากขึ้น
หลายคนอาจคิดว่าทำงานที่บ้านสบายแล้วสิ! แต่แท้จริงแล้วการทำงานที่บ้านไม่ได้ต่างจากการทำงานที่ออฟฟิศ เพียงแค่ไม่ต้องเดินทาง ฉะนั้น เวลาเริ่มงานและเวลาเลิกงานก็ยังคงเป็นเวลาเดิมหรืออาจจะมีการยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม คุณอาจจะสร้างระบบการรายงานตัวเหมือนการตอกบัตรเข้าทำงาน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นความ Active ของพนักงานได้เป็นอย่างดี
หากคุณอยากให้การบริหารพนักงานแบบ Work From Home ประสบความสำเร็จต้องมีกฎระเบียบเพื่อให้พนักงานปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็น ห้ามพนักงานทำงานในชุดนอน ต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเริ่มทำงาน เหตุผลก็คือการทำงานในชุดนอนจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ไม่ Active ไม่สดชื่น จะทำงานได้ไม่เต็มที่ หรือว่าให้ลุกเดินทุกๆ ชั่วโมง ยืดเส้นยืดสาย ทำงานในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เป็นต้น
ตอนนี้การคุยงานหรือประชุมมีความสะดวกมากขึ้นจากเทคโนโลยีต่างๆ ที่เข้ามาช่วยซัพพอร์ต ฉะนั้น การ Work From Home จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการคุยงานกับลูกน้อง สั่งงานไปจนถึงการติดตามประสิทธิผลของการทำงาน คุณสามารถใช้ตัวช่วยในการประชุม อาทิ TALKY โปรแกรมที่จะช่วยให้การ VDO Conference เป็นเรื่องง่ายแถมยังฟรีด้วย นอกจากนี้การส่งงานต่างๆ ยังสามารถส่งข้อมูลไปบน Cloud เช่น Dropbox, Google Drive
อย่างไรก็ตาม การ Work From Home ไม่ได้เหมาะกับการทำงานทุกตำแหน่ง ทุกสายงาน สำหรับประเภทงานที่สามารถ Work From Home ได้ ต้องเป็นงานที่จบในตัวเอง ไม่ใช่งานที่ต้องมีผู้เกี่ยวข้องเยอะ นอกจากนี้พนักงานที่สามารถ Work From Home ได้ต้องเป็นพนักงานที่มีประสบการณ์พอสมควร สามารถทำงานให้สำเร็จได้ด้วยตัวเองและมีวินัยมากเพียงพอที่จะจัดการงานให้เสร็จตามกำหนดเวลาที่วางไว้
ส่วนงานที่ต้องพบปะผู้คนหรือต้องใช้ระบบเฉพาะเจาะจงที่มีอยู่ในองค์กรเท่านั้น อาจจะยากในการใช้วิธี Work From Home เช่น พนักงาน Call Center, พนักงานบริการ เป็นต้น นอกจากนี้พนักงานใหม่ที่เพิ่งเข้ามาและยังต้องอาศัยคนสอนงานอยู่ก็อาจจะไม่สามารถ Work From Home ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ดังนั้นการ Work From Home จึงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้ประกอบการว่าองค์กรของคุณจะสามารถใช้วิธีการนี้ได้หรือไม่ แล้วจะจัดการอย่างไรให้งานไม่สะดุด แต่ถ้าทำได้ เชื่อเถอะว่าการ Work From Home ไม่ได้แย่อย่างที่คิด เผลอๆ อาจจะทำให้ผลงานดีกว่าที่เคยเป็นมาก็เป็นได้!
ที่มา: www.smethailandclub.com