การทำนายยอดขายในแต่ละบริษัทเป็นเรื่องปรกติเพื่อจะบริหารจัดการเงินที่จะลงทุนรวมถึงเงินที่ใช้ในกิจกรรมต่างๆของธุรกิจ ไม่ใช่แค่การตลาดเท่านั้น ฉะนั้นการมี Marketing Mix Model (MMM) จะทำให้เราเข้าใจว่ากิจกรรมของธุรกิจแต่ละอย่างมีผลกระทบมากน้อยแค่ไหนต่อยอดขาย รู้ว่าสื่อโฆษณาคอนเทนท์แบบไหนที่ควรลงทุนและมากน้อยแค่ไหน รวมถึงตัดสินใจในเรื่องกลยุทธ์ต่างๆเช่น ควรขึ้นราคาสินค้าดีหรือไม่ กลุ่มลูกค้าเป้าหมายยังคงทำยอดขายได้ดีอยู่หรือเปล่า เป็นต้น?
Marketing Mix Model (MMM) มีไว้เพื่อทำนายยอดขาย
ซึ่งการสร้างโมเดลที่ว่าจะต้องใช้การวิเคราะห์ทางสถิติเข้าช่วย นอกจากเราจะต้องมานั่งหาว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลกระทบต่อยอดขาย (ที่ที่เป็นปัจจัยในการตลาดและไม่ใช่การตลาด) ยังต้องคำนวณหา Return on Investment ของแต่ละปัจจัย และยอดขายที่แต่ละปัจจัยทำให้เกิดขึ้น (ทั้งเพิ่มขึ้นและลดลง) การสร้างโมเดลที่ว่าจะต้องใช้ตัวเลข ผลงานของแต่ละปัจจัยเข้ามาช่วยสร้างสมการจนเป็นโมเดลทำนายยอดขายนั่นเอง
เมื่อไหร่ถึงจะได้ใช้ Marketing Mix Model
เพราะเราไม่สามารถ Track หรือติดตามยอดขายจากช่องทาง Offline ได้เหมือนการ Track ยอดขายจากช่องทาง Online นั่นเอง การมี MMM ช่วยให้เราเห็นว่าจำนวนเงินที่ใช้ไปกับแต่ละกิจกรรมทางการตลาด จะทำยอดขายได้เท่าไหร่จากแต่ละกิจกรรม
เรื่องนี้สำคัญมากๆ การที่เรามีเงินเยอะ ไม่ได้หมายความว่าเราจะใช้แบบไม่ต้องคิดคำนวณเลย เรายังต้องทำให้มั่นใจว่าเงินที่ใช้ไปแต่ละบาทนั้นคุ้มค่าที่สุด ลงเงินไปแล้วคุ้มค่า ROI ได้ยอดขายกลับมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย
เช่น ถ้าปัจจัยที่ทำให้เกิดยอดขายมีเยอะเกินไป คงสิ้นเปลืองทรัพยากรมานั่งหาว่าปัจจัยไหนบ้างที่มีประสิทธิภาพทีละตัว การมี MMM จะช่วยให้เราเห็นภาพรวม วัดและทำนายยอดขายจากโมเดลไปเลยดีกว่า
เราจะได้อะไรจากการใช้ Marketing Mix Model
ข้อจำกัดของ Marketing Mix Model
แน่นอนว่าทุกธุรกิจก็อยากทำนายยอดขายได้แม่นยำ รู้ทุกปัจจัยที่ส่งผลต่อยอดขายในอนาคต แต่ถ้าเราไม่ได้มีงบการตลาดเยอะ Media Plan ไม่ได้ซับซ้อน ส่วนใหญ่รายได้มาจากช่องทางออนไลน์ การพัฒนา MMM ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น อาจจะหันมาใช้ทางเลือกที่ถูกกว่าอย่าง Data Driven Attribution Model ก็ได้
ที่มา : www.marketingoops.com