ประเด็นนี้มี 2 มุม ขึ้นอยู่กับว่าเราเป็นผู้กู้หรือผู้ฝากเงิน เพราะเวลาแบงก์ชาติประกาศขึ้นดอกเบี้ย สถาบันการเงินต่าง ๆ จะต้องพากันปรับขึ้นด้วยเช่นกัน และอาจจะปรับขึ้นมากกว่าอัตรานโยบายของแบงก์ชาติด้วย เพราะสถาบันการเงินต้องประเมินหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการกำหนดอัตราดอกเบี้ย เช่น ความต้องการเงินกู้ ปริมาณเงินฝาก อัตราเงินเฟ้อ ต้นทุนดำเนินการของธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น
ดังนั้นพอมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในมุมผู้ฝากเงินแน่นอนว่าจะได้รับอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น
แต่...มุมผู้กู้ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศด้วย จะได้รับผลกระทบเต็ม ๆ เพราะจะมีต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายเพิ่ม โดยเฉพาะผู้ที่มีหนี้ก้อนใหญ่ ๆ เช่น กู้ซื้อบ้านหรือกู้มาทำธุรกิจ
มีกูรูเคยกล่าวไว้ว่า "ช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเป็นขาลง ตลาดหุ้นจะขึ้น แต่ช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ตลาดหุ้นจะลง”
อันดับแรกที่เห็นชัด ๆ แล้วคือ ฟันด์โฟลวจะไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงเช่น ตลาดหุ้น และไหลเข้าไปหาสินทรัพย์ปลอดภัยกว่า เช่น พันธบัตร เมื่อฟันด์โฟลวไหลออก สภาพคล่องในตลาดหุ้นก็จะลดลง ราคาหุ้นต่าง ๆ ก็จะอยู่ในขาลงด้วย เพราะมีแรงขายออก
และการที่ฟันโฟลวไหลออก เงินบาทก็จะได้รับผลกระทบได้ด้วยทำให้อ่อนค่าลง ธุรกิจกลุ่มนำเข้าก็จะได้รับผลกระทบไปตาม ๆ กัน
และการขึ้นดอกเบี้ย จะมีเอฟเฟคต่อผลตอบแทนด้วย !!! คืองี้ ... ปกติบริษัทจะระดมทุนจากแหล่งเงินทุน 2 แหล่ง 1.จากผู้ถือหุ้น 2.กู้ยืม จาก ธนาคาร หรือ การออกหุ้นกู้ เพราะฉะนั้นถ้าหากบริษัทมีการกู้เงินมาลงทุนสิ่งที่บริษัทจะต้องจ่ายคืนให้ผู้ให้กู้ก็คือ “ดอกเบี้ย” ซึ่งแทบทุกบริษัทในตลาดหลักทรัพย์มีส่วนของหนี้สินอยู่ในงบดุล ทำให้ “ดอกเบี้ย” จึงเป็นต้นทุนทางการเงินของแทบทุกบริษัท
ภาระทางการเงินเพิ่มขึ้นทำให้บริษัทจะต้องนำกำไรที่หามาไปชำระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนั้นทำให้อัตรากำไรของบริษัทนั้นลดลง และการที่บริษัทกำรไรลดลงย่อมส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นโดยตรง (แต่บางธุรกิจจะได้ประโยชน์จากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เช่น กลุ่มอุตสหกรรมการเงิน)
เงินเฟ้อมันพุ่งสูงปรี๊ดรอบหลายปี บางประเทศหลายสิบปี (เพราะสงครามทำให้ราคาพลังงานแพงขึ้น) และเงินเฟ้อหากปล่อยไว้จะส่งผลเสียในระยะยาวมากกว่า เพราะมูลค่าเงินเท่าเดิม แต่ข้าวของแพงขึ้นมโหฬาร
ดังนั้นต้องขึ้นดอกเบี้ยมาสกัด เพราะเวลาขึ้นดอกเบี้ย การใช้จ่ายจะลดลง ดีมานด์สินค้าและบริการจะลดลง กลไกราคาจะปรับตัวให้สมดุลมากขึ้น และเงินเฟ้อจะค่อย ๆ ลดลง
ซึ่งก็คาดหวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามทฤษฎี และไม่มีปัจจัยลบใหม่ ๆ มาซ้ำเติมอีก ช่วงนี้นักลงทุนต้องกระจายความเสี่ยงให้เหมาะสม เพราะสินทรัพย์เพื่อการลงทุนต่าง ๆ ลงกันทั่วหน้า ทั้งหุ้น คริปโทฯ ทอง บลา ๆ