หลักการบัญชีคู่ (Double Entry Accounting)

หลักการบัญชีคู่ (Double Entry Accounting)



          เป็นแนวคิดพื้นฐานในวิชาการบัญชีที่ถูกนำมาใช้เพื่อบันทึกธุรกรรมทางการเงินอย่างมีระบบและครบถ้วน หลักการนี้ได้รับการพัฒนามาตั้งแต่สมัยยุคเรเนซองส์โดย Luca Pacioli นักคณิตศาสตร์และนักบัญชีชาวอิตาลี และยังคงถูกใช้อย่างแพร่หลายในทุกธุรกิจและองค์กรทั่วโลกในปัจจุบัน หลักการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อบันทึกธุรกรรมทางการเงินในลักษณะที่ให้ข้อมูลครบถ้วน ถูกต้อง และสมดุลระหว่าง เดบิต (Debit) และ เครดิต (Credit) โดยมีแนวคิดสำคัญว่า "ทุกธุรกรรมทางการเงินต้องมีผลกระทบต่อบัญชีอย่างน้อยสองบัญชี"

หลักการพื้นฐานของบัญชีคู่
          1. ทุกธุรกรรมมีสองด้าน : ทุกธุรกรรมทางการเงินทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะต้องมีการบันทึกทั้งในด้านเดบิต (Debit) และเครดิต (Credit) โดยมีมูลค่าเท่ากันเสมอ เพื่อรักษาความสมดุลของสมการบัญชี การบันทึกในลักษณะนี้ช่วยให้สามารถติดตามแหล่งที่มาของเงินและการใช้งานได้อย่างชัดเจน เช่น หากธุรกิจซื้อสินค้าด้วยเงินสด บัญชี "สินค้า" จะเพิ่มขึ้น (เดบิต) และบัญชี "เงินสด" จะลดลง (เครดิต)


          2. สมการบัญชี (Accounting Equation) : หลักการบัญชีคู่อ้างอิงจากสมการบัญชี
                    สินทรัพย์ (Assets) = หนี้สิน (Liabilities) + ส่วนของเจ้าของ (Equity)
                    * หมายเหตุ : โดยธุรกรรมทั้งหมดจะต้องทำให้สมการนี้สมดุลเสมอ

          3. เดบิตและเครดิตต้องเท่ากันเสมอ
: ในการบันทึกบัญชี แต่ละธุรกรรมจะต้องมีจำนวนเงินของฝั่งเดบิตเท่ากับจำนวนเงินของฝั่งเครดิต เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดและรักษาสมดุลของงบการเงิน


หลักการทำงานของบัญชีคู่

          1. เดบิต (Debit) : คือด้านซ้ายของบัญชี และใช้สำหรับบันทึกการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์หรือค่าใช้จ่าย และการลดลงของหนี้สินหรือส่วนของเจ้าของ

          2. เครดิต (Credit) : เครดิตคือด้านขวาของบัญชี และใช้สำหรับบันทึกการลดลงของสินทรัพย์หรือค่าใช้จ่าย และการเพิ่มขึ้นของหนี้สินหรือส่วนของเจ้าของ

          ตัวอย่างการบันทึก
          บริษัทซื้อเครื่องใช้สำนักงานด้วยเงินสด มูลค่า 10,000 บาท จะบันทึก ดังนี้

                    เดบิต (Dr.) : บัญชีเครื่องใช้สำนักงาน 10,000 บาท (เพิ่มสินทรัพย์)
                              เครดิต (Cr.) : บัญชีเงินสด 10,000 บาท (ลดสินทรัพย์)

ข้อดีของหลักการบัญชีคู่
          1. ความถูกต้องและความสมดุล : การบันทึกทั้งสองด้านช่วยให้สามารถตรวจสอบความถูกต้องของบัญชีได้ง่าย หากสมการบัญชีไม่สมดุล แสดงว่ามีข้อผิดพลาดในการบันทึก

          2. การวิเคราะห์และรายงานที่ชัดเจน : หลักการบัญชีคู่ช่วยให้สามารถวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงทางการเงินในองค์กรได้อย่างชัดเจน
          3. การจัดทำรายงานทางการเงิน : ข้อมูลที่ได้จากระบบบัญชีคู่สามารถนำไปใช้ในการจัดทำงบการเงิน เช่น งบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด

เขียนและเรียบเรียงโดย : บริษัท โปรซอฟท์ ซีอาร์เอ็ม จำกัด | 13 ธันวาคม 2567

 222
ผู้เข้าชม

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์