4 ขั้นตอนการทำบัญชีให้ถูกต้องตามหลักการบัญชีและภาษี

4 ขั้นตอนการทำบัญชีให้ถูกต้องตามหลักการบัญชีและภาษี



4 ขั้นตอนการทำบัญชีให้ถูกต้องตามหลักการบัญชีและภาษี

          1. การบันทึกบัญชี (Accounting)
          คือ กระบวนการในการบันทึก รวบรวม วิเคราะห์ และรายงานข้อมูลทางการเงินขององค์กรหรือธุรกิจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทางการเงินที่ถูกต้องและครบถ้วนเพื่อใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจ การควบคุมภายใน และการรายงานผลการดำเนินงานให้กับผู้มีส่วนได้เสีย เช่น ผู้ถือหุ้น ผู้จัดการ หน่วยงานรัฐ และบุคคลภายนอกอื่นๆ ซึ่งการบันทึกบัญชีมีองค์ประกอบหลักดังนี้

          1.1. บันทึกรายการค้าอย่างถูกต้องและครบถ้วน
          คือ การบันทึกรายการค้าแต่ละรายการให้ครบถ้วน ถูกต้อง และทันเวลา และใช้เอกสารที่มีการอนุมัติและมีความน่าเชื่อถือเป็นหลักฐานในการบันทึก เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี ใบส่งของ ฯลฯ

          1.2. ระบบบัญชีคู่ (Double Entry Accounting)
          คือ ทุกการทำธุรกรรมจะต้องมีการบันทึกทั้งในเดบิต (Dr) และเครดิต (Cr) เพื่อให้สมดุลกัน เช่น ถ้ามีการซื้อสินค้าด้วยเงินสด จะบันทึกบัญชีที่เดบิต "สินค้า" และเครดิต "เงินสด"

          1.3. การจัดทำงบการเงิน (Financial Statements)
          งบกำไรขาดทุน (Income Statement) แสดงรายได้และค่าใช้จ่าย
          งบดุล (Balance Sheet) แสดงสินทรัพย์ หนี้สิน และทุน
          งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement) แสดงกระแสเงินสดที่ไหลเข้าหรือออกจากธุรกิจ

          2. การปฏิบัติตามกฎหมายภาษี (Tax Compliance)
          คือ การที่ธุรกิจหรือบุคคลปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับภาษีอย่างถูกต้องและครบถ้วน ซึ่งรวมถึงการจัดทำและยื่นเอกสารภาษี การจ่ายภาษี และการรักษาบันทึกทางการเงินตามที่กฎหมายกำหนด การปฏิบัติตามกฎหมายภาษีมีความสำคัญเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาทางกฎหมายและการถูกปรับจากหน่วยงานรัฐ ซึ่งการปฏิบัติตามกฎหมายภาษีมีองค์ประกอบหลักดังนี้

          2.1. การจัดทำรายงานภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
          บันทึกรายการซื้อขายสินค้าที่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม
          ยื่นรายงานภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป

          2.2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax)
          บันทึกรายได้และค่าใช้จ่ายที่ถูกต้องเพื่อนำมาคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล
          ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) ภายใน 2 เดือนหลังจากสิ้นครึ่งปี
          ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี (ภ.ง.ด.50) ภายใน 150 วันหลังจากสิ้นปีบัญชี

          2.3. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)
          บันทึกและหักภาษี ณ ที่จ่ายตามที่กำหนด เช่น ค่าจ้าง ค่าบริการ
          ยื่นแบบแสดงรายการภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.3 และ ภ.ง.ด.53) ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป

          3. การใช้ซอฟต์แวร์บัญชี (Accounting Software)
          คือ การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือแอปพลิเคชันที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในการจัดการและบันทึกข้อมูลทางการเงินและบัญชีขององค์กรหรือธุรกิจ ซอฟต์แวร์บัญชีช่วยทำให้งานบัญชีเป็นระบบ มีความถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งการใช้ซอฟต์แวร์บัญชีมีองค์ประกอบหลักดังนี้

          3.1. ประโยชน์ของการใช้ซอฟต์แวร์บัญชี
          ความสะดวกและรวดเร็ว ซอฟต์แวร์บัญชีช่วยลดเวลาที่ใช้ในการบันทึกและประมวลผลข้อมูลทางการเงิน ทำให้สามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้น
          ความถูกต้อง ลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากการบันทึกข้อมูลด้วยมือ และมีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดยอัตโนมัติ
           การจัดทำรายงาน ซอฟต์แวร์สามารถสร้างรายงานทางการเงินต่างๆ เช่น งบกำไรขาดทุน งบดุล งบกระแสเงินสด ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
           การจัดเก็บข้อมูล ข้อมูลทางการเงินทั้งหมดถูกจัดเก็บในระบบ ทำให้สามารถค้นหาและเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็ว
           การปฏิบัติตามกฎหมายภาษี ซอฟต์แวร์บัญชีช่วยในการคำนวณและเตรียมเอกสารภาษีต่างๆ ให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของกฎหมายภาษี
           การควบคุมภายใน ซอฟต์แวร์บัญชีช่วยให้การควบคุมและติดตามการเงินภายในองค์กรเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ

          3.2. ฟังก์ชันหลักของซอฟต์แวร์บัญชี
           การบันทึกบัญชีทั่วไป (General Ledger) บันทึกและจัดการธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดขององค์กร
           การจัดการบัญชีลูกหนี้ (Accounts Receivable) บันทึกการขายและการเก็บเงินจากลูกค้า
           การจัดการบัญชีเจ้าหนี้ (Accounts Payable) บันทึกการซื้อและการจ่ายเงินให้กับผู้ขายหรือผู้ให้บริการ
           การจัดทำงบการเงิน (Financial Reporting) สร้างรายงานทางการเงินต่างๆ เช่น งบกำไรขาดทุน งบดุล งบกระแสเงินสด
           การจัดการภาษี (Tax Management) คำนวณภาษีที่ต้องจ่ายและจัดทำเอกสารภาษีต่างๆ
           การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory Management) บันทึกและติดตามการเคลื่อนไหวของสินค้าในคลัง
           การบริหารเงินสด (Cash Management) ติดตามการเคลื่อนไหวของเงินสดและการจัดทำงบกระแสเงินสด

          3.3. การเลือกซอฟต์แวร์บัญชี
           ความเหมาะสมกับธุรกิจ เลือกซอฟต์แวร์ที่มีฟังก์ชันตรงกับความต้องการของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่
           การใช้งานง่าย ซอฟต์แวร์ควรมีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและสะดวกสำหรับผู้ใช้
           การสนับสนุนและบริการหลังการขาย มีบริการสนับสนุนและการอัพเดตซอฟต์แวร์ที่มีคุณภาพ
           ความปลอดภัยของข้อมูล ซอฟต์แวร์ควรมีมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลทางการเงินอย่างเหมาะสม
           ความสามารถในการขยายตัว ซอฟต์แวร์ควรสามารถขยายความสามารถได้เมื่อธุรกิจเติบโต

          4. การตรวจสอบบัญชี (Audit)
          คือ กระบวนการที่ผู้ตรวจสอบบัญชี (Auditor) ทำการตรวจสอบและประเมินข้อมูลทางการเงินและบัญชีขององค์กรหรือธุรกิจ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลดังกล่าวถูกต้อง เชื่อถือได้ และสอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การตรวจสอบบัญชีมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้เสีย เช่น ผู้ถือหุ้น ผู้บริหาร นักลงทุน และหน่วยงานรัฐ ซึ่งการตรวจสอบบัญชีมีองค์ประกอบหลักดังนี้

          4.1. ประเภทของการตรวจสอบบัญชี
           การตรวจสอบบัญชีภายนอก (External Audit) ดำเนินการโดยผู้สอบบัญชีอิสระหรือบริษัทตรวจสอบบัญชีภายนอก ที่มุ่งเน้นการตรวจสอบงบการเงินขององค์กรเพื่อให้ความเชื่อมั่นว่ามีการนำเสนอตามมาตรฐานการบัญชีที่ยอมรับทั่วไป และผลการตรวจสอบจะมีการรายงานในรูปแบบของรายงานการตรวจสอบ (Audit Report) ซึ่งจะแสดงความเห็นของผู้สอบบัญชีเกี่ยวกับงบการเงิน
           การตรวจสอบบัญชีภายใน (Internal Audit) ดำเนินการโดยหน่วยงานภายในองค์กร ที่มุ่งเน้นการตรวจสอบการควบคุมภายใน ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และการปฏิบัติตามกฎระเบียบภายในองค์กร และผลการตรวจสอบจะรายงานให้กับฝ่ายบริหารเพื่อปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานภายในองค์กร

          4.2. วัตถุประสงค์ของการตรวจสอบบัญชี
           ความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ ตรวจสอบว่าข้อมูลทางการเงินและบัญชีที่จัดทำมีความถูกต้องและน่าเชื่อถือ
           การปฏิบัติตามมาตรฐานและกฎหมาย ตรวจสอบว่าการบันทึกบัญชีและการรายงานทางการเงินเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
           การป้องกันการทุจริตและความผิดพลาด ตรวจสอบการควบคุมภายในเพื่อป้องกันการทุจริตและความผิดพลาดในการดำเนินงาน
           การให้คำแนะนำ ให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงการดำเนินงานและระบบบัญชีขององค์กร

          4.3. ขั้นตอนของการตรวจสอบบัญชี
           การวางแผนการตรวจสอบ (Audit Planning) กำหนดขอบเขตและวัตถุประสงค์ของการตรวจสอบ และประเมินความเสี่ยงและกำหนดกลยุทธ์ในการตรวจสอบ เพื่อเตรียมแผนการตรวจสอบและตารางเวลาการดำเนินงาน
           การเก็บรวบรวมหลักฐาน (Evidence Gathering) ตรวจสอบเอกสารทางการเงินและบัญชี และสัมภาษณ์บุคลากรที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำการทดสอบรายละเอียดและการทดสอบเชิงวิเคราะห์เพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูล
           การประเมินและวิเคราะห์ (Evaluation and Analysis) วิเคราะห์ผลการตรวจสอบและหลักฐานที่ได้รวบรวม เพื่อประเมินความเหมาะสมและความถูกต้องของการบันทึกบัญชี
           การสรุปผลและรายงาน (Conclusion and Reporting) สรุปผลการตรวจสอบและจัดทำรายงานการตรวจสอบ และรายงานผลการตรวจสอบให้กับฝ่ายบริหารหรือผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ

          4.4. ความสำคัญของการตรวจสอบบัญชี
           สร้างความเชื่อมั่น สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้เสียว่าข้อมูลทางการเงินมีความถูกต้องและเชื่อถือได้
           ป้องกันการทุจริต ช่วยในการป้องกันและตรวจจับการทุจริตภายในองค์กร
           การปรับปรุงการดำเนินงาน ให้คำแนะนำในการปรับปรุงระบบการควบคุมภายในและประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
           การปฏิบัติตามกฎหมาย ช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง

เขียนและเรียบเรียงโดย : บริษัท โปรซอฟท์ ซีอาร์เอ็ม จำกัด | 12 มิถุนายน 2567

 286
ผู้เข้าชม

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์